จำนวนผู้เข้าชม

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติ

720 ? 720: true);
สวัสดี ผู้เยี่ยมชม [ เข้าระบบ สมัครสมาชิก ] [ เว็บมาสเตอร์ ขอความคิดเห็นชาว Dek-D แถบ Login Bar หน่อยครับ ]
ประวัติของไดโนเสาร์ เมื่อหลายล้านปีก่อนโลกได้กำเนิดสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ขึ้นมาบนโลก มีหลายเผ่าหลายพันธุ์สาย ทั้งประเภทกินเนื้อและกินพืชเป็นอาหาร ต่างฝ่ายก็ต้องดิ้นรนเพื่อออกล่าอาหารอาจจะเป็นในตระกูลเดียวกันหรือต่างสายพันธุ์ ซึ่งต่างก็ได้รับสมญานามว่าเป็นนักล่า โดยเฉาะ ทีแร็กซ์ และแร็พเตอร์ นับว่าเป็นนักล่าในยุคจูลลาสสิค และฝ่ายหาอาหารจากพืชก็จะมีสิ่งป้องกันบางอย่างเพื่อเป็นเกราะคุ้มครองของตนเอง เช่นหนามที่แหลมคม พวกนี้จะไม่ทำอันตรายพวกอื่นก่อนถ้าไม่ถูกรบกวนหรือถูกรุกรานก่อน แต่แล้วสายพันธุ์ของไดโนเสาร์ก็ต้องสิ้นสุดลงเพราะต้องเผชิญกับหายนะอันใหญ่หลวงของโลกจากกลุ่มหินอุกกาบาตที่เข้าถล่มโลกอย่างบ้าคลั่ง ทำให้สิ่งมีชีวิตต้องจบสิ้นลงไปด้วยเพราะไม่อาจทนความร้อนได้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเขม่าและควันไฟที่โพยพุ่ง โลกเต็มไปด้วยความมืดมิดไม่มีแสงสว่าง และเป็นเช่นนั้นอยู่หลายปีและโลกเริ่มเย็นขึ้นๆเรื่อยๆ และต่อมาก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มเข้ายุคใหม่ที่เริ่มก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตยุดใหม่เข้ามาแทนที่สัตว์ใหญ่ที่เคยครองโลกอยู่.....คงเหลือแต่ซากเถ้ากระดูกและฟอสซิลให้เห็นมาจนตราบทุกวันนี้...T^Tซากดึกดำบรรพ์ หรือ ฟอสซิล (fossil) คือซากหรือร่อง รอยของพืชหรือสัตว์ที่ถูกเก็บรักษาไว้โดยธรรมชาติในชั้นหินในเปลือกโลก ประโยชน์ของฟอสซิล ฟอสซิลสามารถบอกให้เราทราบถึงชนิดรูปแบบและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในช่วงระยะเวลาทาง ธรณีวิทยารวมทั้งบ่งบอก สภาพแวดล้อมของ โลกในอดีตกาลอีกด้วยเนื่องจากในแต่ละช่วงระยะ เวลาทางธรณีวิทยาจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น เฉพาะบางชนิดเท่านั้น จากการคำนวณหาอายุของหินทั้งในโลกและจากดาวต่างๆในระบบสุริยจักรวาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากดวงจันทร์ โดยการศึกษาไอโซโทป(isotope)ของธาตุกัมมันตรังสีต่างๆ(radioactive elements) ที่เป็นส่วนประกอบของหิน รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบชั้นหินโดยใช้ซากดึกดำบรรพ์ ทำให้ทราบอายุของโลกโดยประมาณ 4,600,000,000 ปี (4.6 billion years) OoO และแบ่งช่วง ระยะเวลาทางธรณีดังกล่าวออกเป็น บรมยุค(eon) มหายุค(era) ยุค (period) และ สมัย (epoch) ไดโนเสาร์เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินและสูญพันธุ์หมดสิ้นจากโลกนี้ เมื่อหลายสิบล้านปีมาแล้ว ในปัจจุบันพบเพียงซากกระดูกส่วนต่าง ๆ ซึ่งเราเรียกว่าฟอสซิลของไดโนเสาร์คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไดโนเสาร์เป็นสัตว์ที่ใหญ่โต มโหฬารหรือเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์เช่นเดียวกับปลาวาฬ บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลก แต่โดยความเป็นจริง ไดโนเสาร์มี ขนาดและรูปร่างแตกต่างกันมากมาย ตั้งแต่ขนาดใหญ่มหึมา น้ำหนักกว่า 100 ตัน สูงมากกว่า 100 ฟุต จนถึงพวกที่ขนาดเล็ก ๆ บางชนิดก็มีขนาดเล็กกว่าไก่ บางพวกเดินสี่ขา บางพวกก็เดินและวิ่งบนขาหลัง 2 ข้าง บางพวกกินแต่พืชเป็นอาหาร ในขณะที่อีกพวกหนึ่งกินเนื้อเช่นเดียวกับสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน.......... ไดโนเสาร์พวกแรก ปรากฎขึ้นมาในโลกในช่วงตอนปลายของ ยุคไทรแอสสิกเมื่อกว่า225ล้านปีมาแล้วเป็นเวลาที่ทวีปทั้งหลาย ยังต่อเป็นผืนเดียวกัน สัตว์เลื้อยคลานพวกนี้มีชีวิตอยู่และมีวิวัฒนาการตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 160 ล้านปี กระจัด กระจายแพร่หลายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินในโลก แล้วจึงได้สูญพันธุ์ไปหมดในปลายยุคครีเทชียสหรือเมื่อ 65 ล้านปีที่ล่วงมาแล้ว ในขณะที่ต้นตระกูลของมนุษย์เพิ่งจะปรากฎในโลกเมื่อ 5 ล้านปีที่ผ่านมา หลังจาก ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปแล้วถึง 60 ล้านปี ละเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ปัจจุบันนั้นเพิ่งเริ่มต้นมาเมื่อไม่เกินหนึ่งแสนปีมานี่เองมนุษย์มักจะคิดว่าไดโนเสาร์นั้นโง่และธรรมชาติสร้างมาไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม จึงทำให้มันต้องสูญพันธุ์ไปทั้งหมด ความคิดนี้ไม่ถูก โดยแท้จริงแล้วไดโนเสาร์ได้เจริญแพร่หลายเป็น เวลายาวนานกว่า 30 เท่า ที่มนุษย์ได้อาศัยอยู่ในโลก ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานนี้ไดโนเสาร์ได้มีวิวัฒนา การออกไปเป็นวงศ์สกุลต่าง ๆ กันมากมาย เท่าที่ค้นพบและจำแนกแล้วประมาณ 340 ชนิด และคาดว่า ยังมีอีกเป็นจำนวนมากที่กำลังรอคอยการค้นพบอยู่ในที่ต่าง ๆ กันทั่วโลก ทุกวันนี้ ทั่วโลกมีคณะสำรวจ ไดโนเสาร์อยู่ประมาณ 100 คณะทำให้มีการค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ประมาณว่ามี การค้นพบไดโนเสาร์ชนิดใหม่เพิ่มขี้น 1 ชนิดในทุกสัปดาห์ *O*นักโบราณชีววิทยา แบ่งไดโนเสาร์ออกเป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ โดยอาศัยความแตกต่างของกระดูกเชิงกราน คือ 1. พวกซอริสเซียน (Saurischians) มีกระดูกเชิง กรานเป็นแบบสัตว์เลื้อยคลาน คือ กระดูก พิวบิส และอิสเชียมแยกออกจากกันเป็นมุมกว้าง 2. พวกออรืนิธิสเชียน (Ornithiscians) มีกระดูก เชิงกรานเป็นแบบนก คือ กระดูกทั้งสอง (พิวบิสและอิสเชียม) ชี้ไปทางด้านหลัง ฟันของไดโนเสาร์ซอโรพอด พบจากแหล่งขุดค้นวัดสักกะวัน จ.กาฬสินธุ์ ฟันกรามล่างของไดโนเสาร์ปากนกแก้ว ซิตตะโกซอรัส สัตยารักษ์.....ข้อมูลจาก กรมทรัพยากรธรณีวิทยาพิมพ์เลขที่เห็น*





ข้อตกลง & เงื่อนไขการใช้งาน1. กรณีที่ข้อความและรูปภาพในกระทู้นี้แต่งโดยผู้ลงกระทู้เอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงกระทู้โดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อความ2. กรณีที่ข้อความและรูปภาพในกระทู้นี้ทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงกระทู้จะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการ ลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว 3. ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่งเด็กดีดอทคอมมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ หรือไม่เหมาะสม โปรดแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการที่ contact(at)dek-d.com( ทุกวัน 24 ชม )หรือโทร 0-2860-1142 ( จ-ศ 09.00-17.30 )

วันลอยกระทง

ประวัติวันลอยกระทง กระทง ประเพณีลอยกระทง วันลอยกระทง คลิกเเรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณภาพประกอบจาก loikrathong.net และทางอินเทอร์เน็ต ใกล้ถึงเทศกาลวันลอยกระทงแล้ว … เชื่อว่าหลายคนคงเตรียมตัวควงหวานใจ หรือพาครอบครัวไปลอยกระทงร่วมกันที่ใดที่หนึ่งแล้ว อ๊ะ ๆ ... แต่ก่อนที่จะไปลอยกระทงกันนั้น เรามาทำความรู้จักประเพณีลอยกระทงให้ถ่องแท้กันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้เข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของประเพณีอย่างแท้จริง กำหนดวันลอยกระทง วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่ 1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด 2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท 3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์ 4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้ 5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ 6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน 7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญหาพื้นบ้านไว้อีกด้วย ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ
ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่ (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า
จังหวัดตาก จะประดิษฐ์กระทงขนาดเล็ก แล้วปล่อยลอยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เรียงรายเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
จังหวัดสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องประเพณีลอยกระทง ด้วยความเป็นจังหวัดต้นกำเนิดของประเพณีนี้ โดยการจัดงาน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520 ซึ่งจำลองบรรยากาศงานมาจากงานลอยกระทงสมัยกรุงสุโขทัย และหลังจากนั้นก็มีการจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยทุก ๆ ปี มีทั้งการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล และไฟพะเนียง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง
กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานลอยกระทงหลายแห่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ "งานภูเขาทอง" ที่จะเนรมิตงานวัดเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทง ส่วนใหญ่จัดอยู่ราว 7-10 วัน ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทง จนถึงหลังวันลอยกระทง
ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี กิจกรรมในวันลอยกระทง ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้หลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย

เพลงประจำเทศกาลลอยกระทง

เมื่อเราได้ยินเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ขึ้นต้นว่า "วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง..." นั่นเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว ซึ่งเพลงนี้เป็นที่คุ้นหูของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เพราะในต่างประเทศมักเปิดเพลงนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อแสดงถึงความเป็นประเทศไทย เพลงรำวงวันลอยกระทงแต่งโดยครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้ให้ทำนองคือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งสุนทราภรณ์ ซึ่งครูเอื้อได้แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2498 ขณะที่ได้ไปบรรเลงเพลงที่บริเวณคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผู้ขอเพลงจากครูเอื้อ ครูเอื้อจึงนั่งแต่งเพลงนี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจึงเกิดเป็นเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ติดหูกันมาทุกวันนี้ มีเนื้อร้องว่า วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ งานลอยกระทงประจำปี 2552 ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลอยกระทงถือเป็นประเพณีหนึ่งที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศได้อย่างดี ดังนั้นในทุก ๆ ปี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะร่วมกับจังหวัดต่างๆ จัดงานใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศในช่วงเทศกาลประเพณีลอยกระทง อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีลอยกระทงอีกด้วย
และสำหรับปี 2552 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดเทศกาลลอยกระทงในหลายพื้นที่ สำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวชมงาน ได้แก่...ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร จัดงานสีสันแห่งสายน้ำ มหกรรมลอยกระทง กรุงเทพมหานคร วันที่ 31 ตุลาคมถึง 2 พฤศจิกายน โดยมีขบวนเรือประเพณีลอยกระทง เรือประดับไฟฟ้า ณ บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา เริ่มตั้งแต่สะพานกรุงเทพฯ ถึงสะพานกรุงธน ทั้งนี้ จะมีพิธีเปิดงานที่บริเวณเชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี เวลา 19.00 น. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดงาน "ลอยกระทง ตามประทีป ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ ประจำปี 2552" ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน ซึ่งนับเป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่งของ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทรฯ ที่จัดต่อเนื่องมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 22 แล้ว โดยจัดภายใต้แนวคิดหลัก "ย้อนรำลึกถึงวันวาน" การประกวดนางนพมาศและหนูน้อยนพมาศชิงถ้วยรางวัลพระราชทาน การประกวดกระทงชิงถ้วยพระราชทาน พร้อมศิลปินชื่อดังตบเท้าขึ้นเวทีสร้างความบันเทิงตลอดคืน เน้นอำนวย ความสะดวกแก่ประชาชนเที่ยวชมงานด้วยรถรับส่งกรุงเทพฯ-อยุธยาฟรี และไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู
จังหวัดสมุทรสงคราม จัดงานประเพณีลอยกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง วัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวจังหวัดสมุทรสงครามที่ผูกพันกับสายน้ำลุ่มแม่ น้ำแม่กลอง มีการลอยกระทงกาบกล้วย จำนวน 100,000 ใบ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น เรียบง่าย ประหยัด สมดุล ย่อยสลายง่าย ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ณ อุทยาน ร.2 และวัดภุมรินกุฎีทอง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม งานเริ่มเวลา 16.00 น. โดยมีการสืบสานประเพณีทอดผ้าป่าทางน้ำ มีขบวนเรือแห่ผ้าป่า ในภายในงานมีกิจกรรมรำวงย้อนยุค การแสดงวงดนตรีลูกท่ง โรงเรียนอัมพวันวิทยาลัย เจ้าของรางวัลรายการชิงช้าสรรค์ แชมป์ออฟเดอะแชมป์ ปี 2551 การแสดงโขนเยาวชนกลุ่มยุวศิลปิน มูลนิธิ ร.2 นิทรรศการกระทงกาบกล้วยเมืองแม่กลอง การประกวดหนูน้อยนพมาศ การประกวดนางนพมาศ ณ วัดช่องลมภาคเหนือ จังหวัดสุโขทัย จัดงานประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟจังหวัดสุโขทัย ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2552 ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งเป็นประเพณีบูชาด้วยประทีป ที่มีมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ตามที่ปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกพ่อขุนราม คำแหงหลักที่ 1 มีข้อความกล่าวถึง การเผาเทียน เล่นไฟ ว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของอาณาจักรสุโขทัย เมื่อกว่า 700 ปีก่อน ซึ่งได้คลี่คลายมาเป็นประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟในปัจจุบัน โดยมีการแสดงแสง-เสียง จำลองบรรยากาศงานเผาเทียน เล่นไฟสมัยสุโขทัย ให้ผู้คนทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศได้ชื่นชม
จังหวัดตาก จัดงานประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีป 1000 ดวง ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคมถึง 4 พฤศจิกายน ณ บริเวณแม่น้ำปิง ริมสายธารลานกระทงสาย เชิงสะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี อำเภอเมือง จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 4 พฤศจิกายน 2552 จังหวัดเชียงใหม่ จัดงานประเพณียี่เป็ง "สืบฮีต สานฮอย ต๋ามโคมผ่อกอย ยี่เป็งล้านนา” หรือChiang Mai "YeePeng" (LoyKrathongFestival) ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคมถึง 2 พฤศจิกายน ณ บริเวณข่วงประตูท่าแพ และหน้าสำนักงานเทศบาล จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ให้เป็นเมืองแห่งศิลปวัฒนธรรม ทำให้เกิดพัฒนาการทางด้านความผสมผสานระหว่างดนตรีล้านนากับดนตรีสากล อีกทั้งยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสกับเยาวชนในเขตจังหวัดภาคเหนือได้แสดงความ สามารถในด้านดนตรี และศิลปวัฒนธรรมภายในงานอีกด้วยภาคใต้ จังหวัดสงขลา จัดงานเทศกาลโคมไฟ สีสันเมืองใต้ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 - 28 กุมภาพันธ์ 2553 ที่บริเวณสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ โดยมีธีมการจัดงาน 9 มหัศจรรย์โคมไฟแห่งความสุข ซึ่งประเทศจีนร่วมแสดงโคมไฟน้ำแข็งเป็นแห่งแรกในประเทศ ภายใต้อุณหภูมิ -30 องศาเซลเซียส เพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนที่ครบรอบ 35 ปี นอกจากนี้ ยังมีการจัดเทศกาลงานลอยกระทงในทุก ๆ จังหวัดอีกด้วย สำหรับวันลอยกระทงในปีนี้ตรงกับวันพุธ ที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ใครที่ยังไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน ก็อย่าลืมชวนครอบครัว หรือเพื่อน ๆ มาร่วมกันสานต่อประเพณีที่ดีงามนี้ไว้นะค่ะ อ่อ... และอย่าลืมใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติด้วยล่ะ เพราะนอกจากจะไปลอยกระทงเพื่ออนุรักษ์ประเพณีแล้ว ยังจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติไว้อีกต่อหนึ่งด้วยค่ะ
คุณสามารถแสดงความคิดเห็น ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็น สมาชิกนะคะแต่ถ้าสมัคร สมาชิกและเข้าสู่ระบบก่อนโพส ข้อความเราจะโชว์รูปของคุณ ขึ้นมาให้เด่นๆเลยนะ
กรุณา เคาะเว้นวรรค ระหว่างข้อความด้วยนะคะ ระบบจะตัดคำได้สวยงาม ถ้าพิมพ์ติดกันไปหมด ระบบจะไม่ตัดคำให้นะคะ
ชื่อ :
โค้ด :
กรุณานำโค้ดด้านข้าง กรอกในช่องว่างด้วยคะ (พิมพ์เป็นตัวเล็กหรือตัวใหญ่ก็ได้)

กรุณาคลิก ส่งข้อความ เพียงครั้งเดียวค่ะ....)

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วัดพระเเก้ว


สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
หอฝิ่นอุทยานสามเหลี่ยมทองคำ
ล่องเรือแม่น้ำกก
พิพิธภัณฑ์อูบคำ
ศูนย์ภาษาวัฒนธรรมจีนสิรินธร
บ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม และบ่อน้ำร้อนผาเสริฐ
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
วัดร่องขุ่น
ดอยแม่สลอง
พระตำหนักดอยตุง
วัดพระแก้วมรกต
สามเหลี่ยมทองคำ
ภูชี้ฟ้า
ด่านชายแดนแม่สาย
อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช
ไนท์บาซาร์
สถิติ ผู้เยี่ยมชม: 587683
วัดพระแก้ว
วัดพระแก้ว อยู่บนถนนไตรรัตน์ อ.เมือง เชียงราย เป็นวัดที่ค้นพบพระแก้วมรกต หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ ในปัจจุบัน
ประวัติวัดพระแก้ว เดิมเป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่บริเวณนี้มีกอไผ่ชนิดหนึ่งคล้ายไผ่สีสุก แต่ไม่มีหนาม ชาวบ้านนิยมนำไปทำคันธนู และหน้าไม้ คงจะมีมากในบริเวณนี้ ชาวเชียงรายจึงเรียกว่า “วัด ป่าเยี้ยะ หรือวัดป่าญะ” ต่อมาในปี พ.ศ.1897 ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “วัดพระแก้ว" ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ 90 พรรษา
ตำนานพระแก้วมรกต ตามตำนานโบราณ (พระภิกษุพรหมราชปัญญา แต่งเป็นภาษาบาลีไว้เมื่อ พ.ศ. 2272) ชื่อหนังสือรัตนพิมพวงศ์พระนาคเสนเถระเป็นผู้สร้างด้วยแก้วอมรโกฏิที่เทวดานำมาจากพระอินทร์นำมาถวาย ที่เมืองปาฏลีบุตร (ปัจจจุบัน เมืองปัตนะ รัฐพิหาร อินเดีย) ต่อมาได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐ์สถาน ยังที่ต่างๆ ดังนี้ 1. เกาะลังกา 2. กัมพูชา 3. อินทาปัฐ (นครวัต) 4. กรุงศรีอยุธยา 5. ละโว้ (ลพบุรี) 6. วชิรปราการ (กำแพงเพชร) 7. เชียงราย (พ.ศ.1934-1979 ประดิษฐาน 45 ปี) 8. ลำปาง (พ.ศ. 1979-2011 ประดิษฐาน 32 ปี) 9. เชียงใหม่ (พ.ศ. 2011-2096 ประดิษฐาน 85 ปี) 10. เวียงจันทน์ (พ.ศ.2096 -2321 ประดิษฐาน 225 ปี) 11. กรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2321-ปัจจุบัน) ปัจจุบันประดิษฐานอยุ่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พรบรมมหาราชวัง ได้รับพระราสชทานนามว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร”
พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล เนื่องในมหามงคลสมัย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระเจริญมายุ 90 พรรษา จังหวัดเชียงรายได้จัดสร้าง พระพุทธรูปหยก ขนาดหน้าตักกว้าง 47.9 ซม. สูง 65.9 ซม. สร้างด้วยหยก จากประเทศแคนาดา (มร. ฮูเวิร์ด โล เป็นผู้บริจาค) แกะสลักโดยโรงงานหยก วาลินนานกู มหานครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นองค์แทนพระแก้วมรกต เพราะพระแก้วมรกต ได้ถูกค้นพบ ณ พระเจดีย์วัดพระแก้วเป็นแห่งแรก (พ.ศ.1977) และเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่ง พระองค์ท่านได้พระราชทานนามถวายว่า “พระพุทธรตนากรนวุติวัสสานุสรณ์” แปลว่าพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นมงคลอนุสรณ์ 90 พรรษา และโปรดเกล้าให้เรียกนามสามัญว่า “พระหยกเชียงราย” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 และจังหวัดเชียงราย ได้ประกอบพิธีแห่เข้าเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2534 หอพระหยกเชียงราย วัดในภาคเหนือในสมัยโบราณ นอกจากจะมีอุโบสถ วิหาร ศาลา กุฏิ หอพระธรรม ฯลฯ แล้วยังมี “หอพระสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป” วัดพระแก้วจึงได้สร้าง “หอพระหยกเชียงราย” เป็นอาคารทรงแบบลานนาโบราณ เป็นอาคาร ค.ส.ล. ประกบด้วยไม้ชั้นเดียว ใต้ถุ่นสูง ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร วางศิลาฤกษ์ โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2534 เมื่อได้ก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จมาเป็นประธานพิธีเปิดหอพระหยกเชียงรายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2541
พระอุโบสถ
พระอุโบสถสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2433 มีขนาดกว้าง 9.50 เมตร ยาว 21.85 เมตร เดิมเป็นพระวิหาร ต่อมาได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมา ได้ประกอบพิธีผูกพัธสีมา เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2495 ได้บูรณปฏิสังขรณ์ ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2503 ได้บูรณะใหญ่ครั้งที่ 1 พ.ศ.2503-2505 ในสมัยพุทธวงศ์วิวัฒน์ (วงศ์ ทานวโร) เป็นเจ้าอาวาส นายหมัด ไชยา เป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้าง ประกอบพิธีปอยหลวงสมโภช เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2505 ได้บูรณะใหญ่ครั้งที่ 2 พ.ศ.2543-2545 โดยเปลี่ยนกระเบื้องกระเทาะปูนเก่าออก ฉาบปูนใหม่ ลงรัก ปิดทอง เปลี่ยนช่อฟ้า-ใบระกา บานประตูหน้างต่าง ลวดลาย ภายในเป็นไม้สักทั้งหมด โดยการควบคุมการก่อสร้างของพระเทพรัตนมุณี เจ้าอาวาส และนายนพดล อิงควนิช หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วัดพระแก้ว โทร. 0 5371 8533
เนื้อหาล่าสุด
Free Joomla Template provided by funky-visions.de

พุทธ

พุทธประวัติ
1.ประสูติ

- พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า "พระนางสิริมหามายา" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ

- เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ ถ้าดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

- ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ ทรงเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"



2.วัยเด็ก

- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา

- ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น ค์อ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร

- พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา

- เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)
3.เสด็จออกผนวช


- เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแนวความคิดว่า

-ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น , มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

-ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีความสุข ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน

-วิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ

- สิ่งที่ทรงพบเห็นเรียกว่า "เทวทูต(ทูตสวรรค์)" จึงตัดสินพระทัยทรงออกผนวช ในวันที่พระราหุลประสูติเล็กน้อย พระองค์ทรงม้ากัณฐกะออกผนวช มีนายฉันทะตามเสด็จ โดยมุ่งตรงไปที่แม่น้ำอโนมานที ทรงตัดพระเกศา และเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นผ้ากาสาวพักตร์ (ผ้าย้อมด้วยรสฝาดแห่งต้นไม้) ทรงเปลื้องเครื่องทรงมอบให้นายฉันนะนำกลับพระนคร การออกบวชครั้งนี้เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ (การเสด็จออกเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่)

- หลังจากทรงผนวชแล้ว จึงทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก (บรรลุฌาณชั้นที่แปด) ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้

- จากนั้นจึงเสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันนี้สถานที่นี้เรียกว่า ดงคศิริ) เมื่อบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา 6 ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดำริว่า "เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ" ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้

- ระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ (โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ) มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ต.สารนาถ)
4.ตรัสรู้(15 ค่ำเดือน 6)

- ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส(หุงด้วยนม) ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยเสร็จแล้วทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ... “ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ” ถาดทองนั้นลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๑ เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองค์ทรงโสมนัสและแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้

- ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา 8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคนใต้ต้นโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (ปัจจุบันคือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย)

- ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก

- ทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง คือ
1.) เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้
2.) เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้
3.) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ4

- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4

- เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


5.ปฐมเทศนา

- หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ได้พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป

บัว ๔ เหล่า ได้แก่๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) ๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู) ๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) ๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)



- จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกอาฬารดาบสและอุททกดาบสว่า มีกิเลสเบาบางสามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านทั้ง 2 ได้ตายแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ (ประกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ) จึงเสด็จไปที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันคือสารนาถ เมืองพาราณสี ในวันขึ้น 15 เดือน 8 จึงทรงปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป)" ซึ่งใจความ 3 ตอน คือ
1.) ทรงชี้ทางผิดอันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค(การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค(การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดที่บรรพชิตไม่ควรดำเนิน แต่เดินทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ มรรคมีองค์แปด เป็นไปเพื่อพระนิพพาน
2.) ทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยละเอียด
3.) ทรงปฏิญญาว่าทรงตรัสรู้พระองค์เอง และได้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว

- โกญฑัญญะเป็นผู้ได้ธรรมจักษุก่อน เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งตามสภาพเป็นจริงว่า
"ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมนฺติ " สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรม สิ่งนั้นทั้งหมดมีดับเป็นธรรมดา จึงได้อุปสมบทเป็น เอหิภิกขุอุปสัมปทาองค์แรก

- หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบทแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์ อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์

6.ลักษณะการแสดงธรรม
- สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางธรรมมาก่อนจะทรงเทศน์ "อนุปุพพิกถา" ซึ่งว่าด้วยเรื่อง
- คุณของการให้ทาน การรักษาศีล
- สวรรค์ (การแสวงสุขเนื่องจากการให้ทาน การให้ศีล)
- โทษของกามและการปลีกตัวออกจากกาม
- จากนั้นจึงทรงเทศน์ อริยสัจ 4
7.แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร
- ยสกุลบุตรเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนหนีออกจากบ้าน ไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันในเวลาเช้ามืด แล้วพบพระพุทธเจ้าบังเอิญ ยสกุลบุตรสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ และขอบวช
- อุบาสิกอุบาสิกาคู่แรก คือ บิดามารดาของพระยสะ
- ครั้นแล้วมีเพื่อนของพระยสะ 4 คนกับอีก 50 คน ได้มาฟังพระธรรมเทศนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงมีพระอรหันต์ในโลก 61 องค์
8.การส่งสาวกออกประกาศศาสนา
- ตรัสเรียกสาวกออกประกาศศาสนา เมื่อมีสาวกครบ 60 รูป (ปัญจวัคคีย์และพวกพระยสะ)
- ตรัสให้พระสาวก 60 รูปแยกย้ายกันประกาศศาสนา 60 แห่งไม่ซ้ำทางกัน
- พระองค์จะเสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
- เมื่อสาวกออกประกาศเทศนา มีผู้ต้องการบวชมาก และหนทางไกลกัน จึงทรงอนุญาตให้สาวกดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" (ปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย)
9.การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นมคธ
- วิธีเผยแพ่รศาสนาในกรุงราชคฤห์ ทรงเทศน์โปรดชฎิล(นักบวชเกล้าผม)สามพี่น้อง ได้แก่ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ และบริวาร รวม 1,000 คนก่อน แล้วได้ขอบวชในพระพุทธศาสนา เพราะพวกชฎิลเป็นเจ้าลัทธิบูชาไฟที่ยิ่งใหญ่ หากชฎิลยอมรับพุทธธรรมได้ ประชาชนก็ย่อมเกิดความศรัทธา
- พระอุรุเวลกัสสปะได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางมีบริษัท(บริวาร)มาก
- พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายวัดนับว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระเวฬุวันมหาวิหาร (วัดเวฬุวัน)
10.อุปติสสะ(พระสารีบุตร)และโกลิตะ(พระโมคคัลลานะ)
- ณ กรุงราชคฤห์นี้เอง เด็กหนุ่มสองคน ซึ่งเป็นศิษย์ของนักปรัชญาเมธี ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ สัญชัย เวลัฏฐบุตร โดยพระอัสสชิได้แสดงธรรมให้อุปติสสะว่า
"ทุกสิ่งจากเหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น และการดับเหตุของสิ่งเหล่านั้น"
อุปติสสะได้ฟังก็เกิด "ดวงตาเห็นธรรม" จึงกราบลาท่าน แล้วรีบไปบอกข้อความที่ตนได้ฟังมาแก่โกลิตะทราบ โกลิตะได้ฟังก็เกิด"ดวงตาเห็นธรรม" เด็กหนุ่มสองคนจึงมาขอบวชเป็นสาวกพร้อมกัน และมีชื่อเรียกทางพระศาสนาว่า พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ตามลำดับ
- หลังจากบวชได้ 7 วัน พระโมคคัลลานะได้ไปบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่ กัลลวาลมุตตคาม ใกล้เมืองมคธ รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน แก้อย่างไรก็ไม่หาย จนพระพุทธเจ้าเสด็จไปตรัสบอกวิธีเอาชนะความง่วงให้ พร้อมประทานโอวาทว่าด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเวทนา (ความรู้สึก) ทั้งหลายว่า เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน จบพุทธโอวาท พระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- หลังจากบวชได้ 15 วัน พระสารีบุตรได้ถวายงานพัดพระพุทธเจ้า ขณะพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดทีฆนขะปริพาชก (นักบวชไว้เล็บยาว) อยู่ที่ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชฌกูฏ ท่านพัดวีพระพุทธองค์พลางคิดตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าไปด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- ทั้งสองท่านได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวก โดยพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางปัญญา และพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางฤทธิ์มาก
11.โอวาทปาติโมกข์

- วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย
1.)วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
2.)พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
3.)พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖ ซึ่งหมายถึงความสามารถ พิเศษ ๖ ประการ ได้แก่ แสดงฤทธิ์ได้ ระลึกชาติได้ ตาทิพย์ หูทิพย์ กำหนดรู้ใจคนอื่นได้ และบรรลุอาสวักขยญาณ (คือญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย)
4.)พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)
ทรงเทศน์ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งถือเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ใจความว่า
" จงทำดี ละเว้นความชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์ "
- พระสงฆ์ปรารถว่าไม่เคยเห็นฝนเช่นนี้มาก่อน พระพุทธจึงทรงเล่าว่า ฝนนี้เคยตกมาแล้วเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร แล้วจึงทรงเล่าเรื่องมหาเวสสันดร
12.โปรดพระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์
- ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา (พระเจ้าสุทโธทนะ) ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล จนบรรลุอรหันตผลเมื่อใกล้สวรรคต
- พระนันทะ (เป็นโอรสของพระสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี) ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านำ ออกผนวชอุปสมบท
- ต่อมาพระนางยโสธราก็ให้พระกุมารราหุลซึ่งมีอายุ 7 ปีไปทูลขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าเห็นว่าราชสมบัติเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน อริยทรัพย์(ทรัพย์อันประเสริฐ)ต่างหากเป็นสิ่งยั่งยืน จึงทรงให้พระสารีบุตรทำการบรรพชาให้ราหุลเป็นสามเณร จึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ณ นิโครธาราม พระเจ้าสุทโธทนะจึงขอร้องว่า "ขออย่าให้ทรงบวชใคร โดยที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต"
เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จากนั้นก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา
- ทรงให้อุปสมบทแก่เจ้าศากยะ 5 พระองค์ คือ พระอานนท์ พระอนุรุทธ์(เป็นผู้มีเลิศในทางมีทิพยจักษุ) พระภัททิยะสักยราชา พระภัคคุ พระกิมพิละ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ คือพระเทวทัต จนได้บรรลุอรหัตผล 5 ท่าน ยกเว้นพระเทวทัต
- พระอุบาลีเป็นบุตรของช่างกัลบก(ช่างตัดผม)อยู่ในวรรณะต่ำ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานภูษามาลาของเจ้าศากยะ ทำหน้าที่จัดการดูแลเครื่องแต่งกาย เมื่อเจ้าศากยะ 5 พระองค์ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ทรงออกผนวช อุบาลีได้ติดตามไปขออุปสมบทด้วย พระอุบาลีเมื่อได้อุปสมบทแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทาง ด้านผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย
- พระนางปชาบดีโคตมี(พระน้าของพระพุทธเจ้า) ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา โดยพระอานนท์ช่วยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าสุดท้ายได้บรรลุพระอรหันต์ และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี
- โปรดให้พระนางยโสธราได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีชื่อพระนางภัททา กัจจานา จนบรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางบรรลุอภิญญาใหญ่ (สามารถระลึกเหตุการณ์ในกัปป์ต่างๆย้อนหลังไปได้มากนับไม่ถ้วน)
13.การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นโกศล
เมื่อประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มีศูนย์กลางแห่งใหม่ที่ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้าง"วัดพระเชตวัน"ขึ้น แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐีนีคนหนึ่ง ก็มีจิตศรัทธาสร้าง วัดบุพพาราม ถวายด้วย
14.ปัจฉิมกาล
- ก่อนปรินิพพาน 3 เดือน ทรงปลงอายุสังขาร
- ก่อนปรินิพพาน 1 วัน นายจุนทะถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) เมื่อพระองค์เสวยแล้วประชวรพระอานนท์โกรธ พุทธองค์จึงตรัสว่า
"บิณฑบาตที่มีอานิสงส์ที่สุด มี 2ประการ คือ เมื่อตถาคต (พุทธองค์) เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ ,ปรินิพพาน"
- ก่อนปรินิพพานทรงกล่าวพุทธโอวาทว่า
1.)การบูชาพุทธองค์อย่างแท้จริง คือ การปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
2.)พุทธศาสนิกชนที่ต้องการเฝ้าพระองค์ควรไปที่ "สังเวชนียสถาน"
3.)การวางตัวของภิกษุต่อสตรี ต้องคุมสติอย่าแปรปรวนตามราคะตัณหา
4.)พระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องของกษัตริย์(มัลลกษัตริย์) มิใช่กิจของสงฆ์
5.)ความพลัดพรากเป็นธรรมดาของโลก
6.)ธรรมและวินัย จะเป็นศาสดาแทนพุทธองค์ ทั้งนี้เพราะบุคคลไม่เที่ยงแท้เท่ากับพระธรรมซึ่งเป็นสัจธรรม
- ปัจฉิมสาวก คือ สุภัททะบริพาชก
- ปัจฉิมโอวาท
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"(อปปมาเทน สมปาเทต)
- ปรินิพพาน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ พระชนมายุ 80 ปี ทรงเทศนาสั่งสอนมาเป็นเวลา 45 ปี


กลับหน้าแรก

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารไทย

อาหารไทย
อาหารไทยขึ้นชื่อได้ว่ามีประวัติมาช้านาน ผู้คนส่วนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศต่างนิยมชมชอบในอาหารไทยกันมากมาย โดยเฉพาะชื่อเสียงในด้านความเข้มข้นและจัดจ้านของรสอาหารที่ติดปากติดใจผู้คนมานับศตวรรษ


โดยส่วนใหญ่อาหารไทยจะมีวิธีการประกอบอย่างง่ายๆ และ ใช้เวลาในการทำไม่มากนัก โดยเฉพาะทุกครัวเรือนของคนไทย จะมีส่วนประกอบอาหารติดอยู่ทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นพริก แห้ง กุ้งแห้ง น้ำปลา กะปิ ส้มมะขาม กระเทียม หัวหอม ตลอด จนปลาบ้าง รวมทั้งส่วนประกอบอาหารจำพวกผัก และเนื้อสัตว์ นานาชนิด เพราะมีวิธีนำมาประกอบที่มีด้วยกันหลายรูปแบบไม่ ว่าจะเป็น แกง ต้ม ผัด ยำ รวมทั้งอาหารไทยได้รับอิทธิพลใน การปรุงอาหารรวมทั้งรูปแบบในการรับประทานอาหารตั้งแต่ อดีต อาทิ การนำเครื่องเทศมาใช้ในการประกอบอาหารก็ได้รับ อิทธิพลมาจากเปอร์เชียผ่านอินเดีย หรืออาหารจำพวกผัดก็ได้ รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เป็นต้น เมนูอาหารไทยที่ขึ้นชื่อลือ ชาหลายชนิดจึงประกอบไปด้วยอาหารมากมายกว่า 255 ชนิด
สุนทรภู่ ประวัติสุนทรภู่ ความเป็นมา ผลงาน นิราศ นิทาน สุภาษิต บทละคร บทเสภา บทเห่กล่อม ๒๖ มิถุนายน วันสุนทรภู่
ประวัติสุนทรภู่

วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙) แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก
สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน
เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า
"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"
แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙
วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี
หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา
สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐
สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย
ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า
"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัยมารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"
รับราชการครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗) อายุ ๓๐ - ๓๘ ปี
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง ในรัชสมัยของ พระองค์ ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น
มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์ เพราะจากกรณี บัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน แม้แต่ นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิต ด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้ นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียน และเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก ที่ไหนจะมี เวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง
(กรณีวิเคราะห์นี้ มิได้รับรองโดยนักประวัติศาสตร์ เป็นความเห็นของคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เขียนไว้ในหนังสือ "เที่ยวไปกับสุนทรภู่" ซึ่งเห็นว่ามูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้า รับราชการ น่าจะมาจากเรื่องละครมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งข้าพเจ้า พิเคราะห์ดูก็เห็นน่าจะจริง ผิดถูกเช่นไรโปรดใช้วิจารณญาณ)
อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า
"๏ รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"
ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า
"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือนทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"
กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วยอีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน
ออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕) อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษา ในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย
"ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มา จนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... "
จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับ ความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนอง พระมหากรุณาธิคุณ สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่ง ของนิราศภูเขาทอง ว่า
"จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"
เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่นเมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆ นี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ
ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้ง เมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะ ไปค้นหา ทำให้เกิด นิราศวัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณ ปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราว ในชีวิตของท่านอีก เป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย
รับราชการครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘) อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี
เมื่อสึกออกมา สุนทรภู่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรง พระยศเป็นสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ ไปอยู่พระราชวังเดิมด้วย ต่อมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงพระเมตตา อุปการะสุนทรภู่ด้วย กล่าวกันว่า ชอบพระราชหฤทัย ในเรื่องพระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังแต่งเรื่อง สิงหไตรภพถวายกรมหมื่น อัปสรฯ อีกเรื่องหนึ่ง
แม้สุนทรภู่จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังรักการเดินทางและรักกลอนเป็นที่สุด ท่านได้แต่งนิราศไว้อีก ๒ เรื่องคือนิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ ขณะที่ท่านมีอายุ ได้ ๖๕ ปีแล้ว ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๖๙ ปี

ผลงานบางส่วนของสุนทรภู่

นิราศ ๑. นิราศเมืองแกลง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนต้นปี ๒. นิราศพระบาท แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ตอนปลายปี ๓. นิราศภูเขาทอง แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๑ ๔. นิราศเมืองสุพรรณ (โคลง) แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๔ ๕. นิราศวัดเจ้าฟ้า ฯ แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๗๕ ๖. นิราศอิเหนา ๗. นิราศพระแท่นดงรัง ๘. นิราศพระประธม ๙. นิราศเมืองเพชร แต่งในราว พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๓๙๒
นิทาน ๑. เรื่องโคบุตร แต่งในราวรัชกาลที่ ๑ ๒. เรื่องพระอภัยมณี แต่งในราวรัชกาลที่ ๒-๓ ๓. เรื่องพระไชยสุริยา แต่งในราวรัชกาลที่ ๓ ๔. เรื่องลักษณวงศ์ (มีสำนวนผู้อื่นแต่งต่อ และไม่ทราบเวลาแต่ง) ๕. เรื่องสิงหไตรภพ แต่งในราวรัชกาลที่ ๒
สุภาษิต ๑. สวัสดิรักษา แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๔-๗ ๒. เพลงยาวถวายโอวาท แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๓ ๓. สุภาษิตสอนหญิง แต่งระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๐-๒๓๘๓
บทละคร ๑. เรื่องอภัยณุราช
บทเสภา ๑. เรื่องขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม แต่งในรัชกาลที่ ๒ ๒. เรื่องพระราชพงศาวดาร แต่งในรัชกาลที่ ๔
บทเห่กล่อม ๑. เห่เรื่องจับระบำ ๒. เห่เรื่องกากี ๓. เห่เรื่องพระอภัยมณี ๔. เห่เรื่องโคบุตร
รวมวรรณกรรมของสุนทรภู่ ทั้งหมด ๒๔ เรื่อง
วันสำคัญอื่นๆ
-

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553




-->
...ปรัญญาแห่งชีวิต...1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง2.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว 3. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่า เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป 4. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตู ที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ 5. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด 6. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่า เรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป... แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง จนกระทั่งผลของสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา 7. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่า อย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้น ในใจของเราเอง 8. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวก โดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ 9. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่สามารถ "ทำใจ" 10. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดและมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง >>และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน 11. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส 12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นอาจใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครอาจใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต 13. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข 14. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน 15. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่า เราต้องการเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในตัวเขา 16. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำ สิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก 17. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางจาก ความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ 18. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ...
Create Date : 01 มีนาคม 2548
Last Update : 1 มีนาคม 2548 12:06:51 น.
18 comments
Counter :
Pageviews.


Add to

Counter : Pageviews.


-->

น่าคิด........
โดย: เชอเบทส้ม วันที่: 1 มีนาคม 2548 เวลา:12:36:02 น.


5 มีนา วันเกิดผม วันเสาร์นี้อ่ะ อย่าลืมนะ
โดย: ปั้ม IP: 203.150.217.115 วันที่: 1 มีนาคม 2548 เวลา:21:14:29 น.


ปรัชญาเจงๆ
โดย: มง IP: 202.44.8.98 วันที่: 25 พฤษภาคม 2548 เวลา:20:45:33 น.


...ดีนะครับ มีปรัญญาให้อ่านประดับความรู้ ขอขอบคุณคนที่คิดเว็ปดีๆ มีสาระให้ประชาชนด้วยนะครับ หวัดดีคับบ๋ม
โดย: Jai Jom IP: 58.9.8.99 วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:12:41:16 น.


รู้สึกดีมากๆทีได้อ่านข้อความดีๆขอบคุณ
โดย: กะละแม IP: 202.91.18.206 วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:23:07:27 น.


"เชื่อว่าสิ่งที่อยู่บนโลกเกิดมาคู่กันมันอาจแตกต่างกันที่สุด หรือเหมือนกันมากที่สุด ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราเปรียบเทียบมันด้วยมาตรฐานของใจเราเอง"
โดย: hacker IP: 118.174.116.174 วันที่: 4 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:23:05 น.


โดย: ส้มโอ IP: 118.173.39.50 วันที่: 20 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:37:47 น.


ดีครับ
โดย: nung IP: 202.149.25.234 วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:16:52:19 น.


หล่อหรือคารม มันจะสู้ข่มขืน555555555555+
โดย: แสนเลว IP: 118.172.118.222 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:57:51 น.


ชอบจังเลย อ่านแล้ว รู้สึกดีจัง
โดย: N_silk วันที่: 25 มีนาคม 2552 เวลา:22:32:09 น.


ชอบมากเลยอ่านแล้วมีกำลังใจมาก
โดย: น้องโบว์=โกโลโกโส IP: 192.111.11.110, 58.9.234.50 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:41:45 น.


ดีง้าบ อ่านแล้วรู้สึกดี
โดย: pHeell IP: 125.24.9.109 วันที่: 1 มิถุนายน 2552 เวลา:10:06:13 น.


คมดี....อ่านแล้วทำให้ได้คิด คิดที่จะมองที่เดิมๆในมุมที่แตกต่าง อ่านแล้วอยากจะทำแต่สิ่งดีๆเพื่อคนที่เรารัก
โดย: น้ำปูน IP: 119.31.21.81 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:15:15:26 น.


ปรัชญารัก อ่านแล้วได้ซึ้งและอารมณ์ที่อ่อนไหวแต่ปัญญาเกิดจากอารมณ์ ที่มั้นคงไม่ใหวเอน
โดย: ก็ให้ไปรับใว้ก้พอ IP: 124.120.124.110 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:23:03:39 น.


ชอบมากค่ะได้ข้อคิดดีๆหลายอย่าง
โดย: สรัญญา IP: 125.27.74.119 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:27:49 น.


ตอนเข้าชมนิตลกดีนะมีลูกเล่นนิดๆ นึกว่าจะไม่ได้ดูซะแล้ว
โดย: ยูกิจัง IP: 114.48.109.159 วันที่: 16 มิถุนายน 2553 เวลา:22:25:31 น.


เจ๋งจิง ๆๆๆ
โดย: แก้มบุ๋ม IP: 202.28.51.72 วันที่: 1 กรกฎาคม 2553 เวลา:12:05:43 น.


ปรัชญาเป็นเรื่องสมมุดความจริงที่สุดคือชีวิตคนเขียน
โดย: DJ.PY IP: 203.113.116.76 วันที่: 5 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:03:01 น.

function check()
{
if(document.reply.textcode.value == '')
{
alert('คุณยังไม่ได้ยืนยันรหัสส่งข้อความ')
document.reply.textcode.focus();
return false;
}
if(do

ชีวิต

...ปรัญญาแห่งชีวิต...
1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง
2.ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว
3. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่า เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป 4. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตู ที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ
5. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกัน โดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไป ด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด 6. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่า เรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป... แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้าง จนกระทั่งผลของสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
7. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่า อย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้น ในใจของเราเอง
8. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวก โดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ
9. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่สามารถ "ทำใจ"
10. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดและมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง >>และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน
11. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส
12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นอาจใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครอาจใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
13. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอ ที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข
14. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวด จากสิ่งเดียวกันเช่นกัน
15. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่า เราต้องการเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในตัวเขา
16. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำ สิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก
17. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางจาก ความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ
18. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ...

ประวัติหัวบือ

โคลงนิราศนรินทร์บทนี้ เป็นบทที่มี “ เสียงกวี” โอ่อ่าที่สุดอีกบทหนึ่งซึ่งเป็นที่ยกย่องอย่างสูง นายนรินทรธิเบศร์ เดิมชื่อ อิน รับ ราชการเป็นมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรได้รับพระราชทานยศเป็นหุ้มแพรมี บรรดาศักดิ์เป็นนายนรินทรธิเบศร์ แต่งหนังสือโคลงเล่มนี้เมื่อคราวตามเสด็จสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เสด็จยกกองทัพหลวงไปปราบพม่าข้าศึกซึ่งยกลงมาตีเมืองถลางและเมืองชุมแพร เมื่อต้นรัชกาลที่๒ ในปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๕๒ โดยเส้นทางน้ำเข้าคลองด่านแล้วผ่านย่าน “ หัวกระบือ” ปัจจุบันนี้บ้านหัวกระบือมีคลองหัวกระบือและวัดศีรษะกระบือ (แต่ชาวบ้านยังคงเรียกวัดหัวกระบือ)อยู่ในแขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ มีทางแยกจากถนนสายธนบุรี-ปากท่อตรงกิโลเมตรที่ ๗ ไปชายทะเลบางขุนเทียนผ่านเข้าบ้านหัวกระบือได้สะดวก นอกจากโคลงนิราศนรินทร์แล้ว ยังมีโคลงนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย ของพระยาตรัง กล่าวถึงอีกดังนี้

งามเงื่อนสุวภาพสร้อย สาวโสมบูรณเอย เศียรกระบือระบือนาม แนะด้าว ไฉนนุชลบฤาโฉม เฉลิมโลกีย์ เฉกเฉนงเสี่ยวไส้ย้าว ยอกทรวง (พระยาตรัง)
เมื่อสุนทรภู่ลอยเรือเข้าคลองด่านจะไปเมืองเพชรบุรี ครั้นผ่านย่านหัวกระบือจึงเขียนนิราศเมืองเพชรไว้ตอนหนึ่งว่า
ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง ให้วังเวงวิญญาณ์เอกากายถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว เหมือนมาเดี่ยวแดนไพรน่าใจหาย ถึงศีรษะละหารเป็นย่านร้าย ข้ามฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน (สุนทรภู่)
“ วรรคสุดท้ายที่ว่า ข้ามฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน” นั้นทุกวันนี้มีบ้านแสมดำอยู่ทัดจากปากคลองหัวกระบือลงไป นอกจากนี้นิราศแท่นดงรังสำนวนสามเณรกลั่น(ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๖) ยังกล่าวถึงหัวกระบือว่า
ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อย่าน บิดาท่านโปรดเกล้าฯ เล่าแถลงว่าพญาพาลีซึ่งมีแรง เข้ารบแผลงฤทธิ์ต่อด้วยทรพี ตัดศีรษะกระบือแล้วถือขว้าง ปลิวมากลางเวหาพนาศรีมาตกลงตรงย่านที่บ้านนี้ จึงเรียกศีรษะกระบือเป็นชื่อนาม (นิราศเณรกลั่น)
เมื่อพิจารณาโคลงนิราศนรินทร์ และกลอนนิราศสามเณรกลั่นจะเห็นที่มาของชื่อย่าน “ หัวกระบือ ” นั้นมีความหมายสอดคล้องกันว่าเกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์ ตอนปราบทรพี แล้วพาลีตัดหัว(ควาย) ทรพีขว้างไปตรงที่ย่านหัวกระบือนี้ ดังนั้นจึงมีชื่อว่าหัวกระบือ แต่ภายหลังกันเรียกว่าศีรษะกระบือ แต่ตำนานการสร้างวัดศีรษะกระบือที่เอกสารของกรมการศาสนา(๒๕๒๖)บันทึกจากปากคำของชาววัดและชาวบ้านนั้นมีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับขุนช้างขุนแผนช่วงต้น ๆ เรื่องที่ว่าสมเด็จพระพันวษาโปรดประพาสป่าล่าควายป่า และบรรดาควายป่าถูกขุนไกรซึ่งเป็นบิดาของพลายแก้ว(ขุนแผน) ฆ่าตัดหัวลงเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระพันวษาจึงโปรดให้สร้างวัดขึ้นไว้แล้วให้ชื่อว่าวัดหัวกระบือหรือศีรษะกระบือ จากลักษณะนิทานประจำถิ่นที่แตกต่างกันนี้ จะเห็นว่านิทานที่เกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์นั้นพยายามจะบอกความเป็นมาของ บ้านหรือหมู่บ้านในย่านนั้นๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแต่นิทานที่เกี่ยวข้อง นั้น คือ ขุนช้าง ขุนแผน บอกมูลเหตุการสร้างวัด อันน่าจะเกิดขึ้นมาคราวหลังมาแล้ว ย่านหัวกระบือมีคลองหัวกระบือแยกออกไปจากเส้นทางคลองด่านหรือคลองสนามชัยที่ ต่อเนื่องเป็นคลองมหาชัย ทุกวันนี้จึงดูราวกับว่าคลองหัวกระบือเป็นทางนำสาขาของคลองด่าน เกี่ยวกับคลองหัวกระบือนี้ อาจารย์ทิวา ศุภจรรยา รองศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่าเมื่อตรวจมณฑลแผนที่กรุงเทพฯสมัย ร.ศ.๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๔) แล้วปรากฏว่าทั้งคลองด่าน คลองสนามชัยและคลองวัดหัวกระบือเป็นคลองเดียวกันและต่อเนื่องกันลงไปทางทิศใต้ และมีลักษณะภูมิประเทศและเส้นทางน้ำที่เป็นหลักฐานให้เชื่อว่าเป็นเส้นทางน้ำเก่าที่ติดต่อทะเลได้ ฝั่งทะเลในอดีตจะอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินแถว ๆ ปลายคลองหัวกระบือปัจจุบันเป็นที่ตั้งหมู่บ้านลูกวัว และเมื่อชายฝั่งทะเลลดลงมาที่ตำแหน่งปัจจุบัน จึงได้มีการขุดคลองขุดราชพินิจใจต่อจากคลองหัวกระบือติดต่อกับทะเล แต่ในรายละเอียดที่จะให้ทราบว่าฝั่งทะเลที่อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินตรงช่วงเวลาที่ใช้คลองด่าน คลองสนามชัย และคลองหัวกระบือเป็นเส้นทางเข้าสู่ทะเลเมื่อใดนั้น ยังคงต้องศึกษาในรายละเอียดต่อไป ความ เห็นของอาจารย์ทิวา ศุภจรรยา สอดคล้องกับแผนที่กรุงศรีอยุธยาที่ยุโรปเขียนขึ้นครั้งแรกในแผ่นดินสมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง และคัดลอกกันต่อมาในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ดังได้มีพิมพ์รวมอยู่ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ แผนที่กรุงศรีอยุธยาของลาลูแบร์ระบุเส้นทางคลองด่านเชื่อมโยงแม่น้ำเจ้า พระยาที่บางกอกกับปากแม่น้ำท่าจีนไว้เป็นเส้นเดียวกัน แล้วพยายามที่จะบอกตำบลบ้านที่อยู่บนเส้นทางคลองด่านนี้ด้วยอักษรโรมันว่า BANGUEBEUZ/BANGUEBEUXซึ่งดูเหมือนจะใกล้เคียงกับชื่อย่าน “หัวกระบือ” มากที่สุด ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงแล้วก็หมายความว่าคลองหัวกระบือก็คือคลองเดียวกับ คลองด่านนั่นเองต่อมาภายหลังเมื่อมีการขุดคลองลัดโคกขามในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือและ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงทำให้คลองหัวกระบือเป็นเส้นทางสาขาที่แยกออกไปต่าง หาก นอกจากนี้แล้วซากศิลปกรรมที่วัดศีรษะกระบือซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในคลองหัว กระบือทุกวันนี้อันถือได้ว่านอกเส้นทางคลองด่านนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ทำขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยิ่งชวนให้เชื่อถือว่าก่อนหน้า นี้จะมีคลองลัดโคกขามนั้น การเดินทางเรือจะต้องใช้เส้นเก่าที่ผ่านเข้าไปทางคลองหัวกระบือ เกี่ยวกับซากศิลปกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ที่วัดศีรษะกระบือนั้น มีบันทึกอยู่ในหนังสือชุดจิตรกรรมฝาผนังประเทศไทยเรื่อง “จิตรกรรมสมัยอยุธยาจากสมุดข่อย” (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ: พฤษภาคม ๒๕๒๘) โดยสรุปว่า หลักฐานโบราณคดีที่ยังเหลือพอจะกำหนดอายุของวัดได้ มีเพียงเสมา เจดีย์ และสมุดข่อยเสมา เป็นหินทรายสีแดง มีขนาดเล็กอย่างเสมาในตระกูลอัมพวา (ในอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม) เป็นใบเสมาในสมัยอยุธยาตอนปลายเจดีย์ เป็นเจดีย์คู่ด้านหน้าโบสถ์ แข้งสิงห์ยาวมาก จึงน่าจะเป็นแบบ อยุธยาเช่นกันสมุดข่อย มีจารึกบอกศักราชว่าจารขึ้นในปี พ.ศ.๒๒๘๖ ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งสุดท้ายประมาณ ๒๔ ปี ทั้งเส้นสายและการวางองค์ประกอบภาพทำให้สันนิษฐานได้ว่าเขียนขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายเกี่ยวกับสมุดข่อยที่วัดศีรษะกระบือนี้ น. ณ ปากน้ำ ผู้เชี่ยวชาญศิลปะในประเทศไทยเคยเสนอบทความเชิงคำนำเสนอไว้ในหนังสือ “จิตรกรรมสมัยอยุธยาในสมุดข่อย” เอาไว้แล้วอย่างละเอียด ดังจะขอนำมาบันทึกไว้ให้แพร่หลายอีกดังต่อไปนี้ ภาพเขียนจากสมุดข่อยที่วัดศีรษะกระบือนั้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับภาพเขียนบนสมุดข่อยทั้งหลายที่เขียนในหนังสือพระธรรมกับมรภาพระบาย สีปิดทองเป็นตัวประกอบ อันเริ่มมีสมัยอยุธยาเป็นต้นมาหรือบางทีอาจจะเก่าแก่ขึ้นไปกว่านั้นก็ได้เรา ยังไม่อาจจะชี้ลงไปให้เด็ดขาดว่าการทำสมุดกระดาษข่อยของเรามีมาแต่สมัยไหน รู้แต่ว่าถ้าเป็นการเทศนาโดยปกติท่านจะเทศน์จากใบลานที่จารด้วยเหล็กแหลม แล้วทาด้วยเขม่าหรือไม่ก็ลงรัก สมุดข่อยของคนไทยนอกจากจะเป็นพระธรรมคัมภีร์ ยังใช้ทำเป็นตำรับตำราต่าง ๆ เช่น วิชาโหรศาสตร์ ตำรายา ใช้จดคาถาอาคมและอุปเทห์ต่าง ๆ รวมทั้งเป็นคัมภีร์ที่ต้องเขียนภาพประกอบ เช่นพระมาลัยและไตรภูมิ ตำราไตรภูมิกับพระมาลัยดูจะขึ้นชื่อลือชาที่สุด อย่างไตรภูมิพระร่วงนั้น ต้องใช้นายช่างจิตรกรทำการคัดลอกสืบทอดกันมา ตำราจึงไม่สูญหาย ไตรภูมิฉบับสุดท้ายที่มีชื่อเสียงมากคือ สมุดภาพไตรภูมิพระร่วงฉบับกรุงธนบุรี ที่พระมหาช่วย วัดกลางวรวิหารจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้จารซึ่งเรียกว่าฉบับหอสมุดแห่งชาติ กับไตรภูมิพระร่วงฉบับพิพิธภัณฑ์เบอร์ลินประเทศเยอรมัน ซึ่งน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน หรืออาจจะเป็นฉบับอยุธยาก็ได้ ด้วยในภาพมารพจญยังมีภาพทหารฝรั่งกำลังรากปืนใหญ่เข้ามาสัปปะยุทธ์ กับพระบรมศาสดา นายช่างจิตรกรเห็นว่าทหารฝรั่งเป็นพวกคริสต์ศาสนิกชน อันเป็นปรปักษ์กับศาสนาพุทธของตนจึงจัดประเภทให้เป็นมารไปเสียเลย ในนั้นยังมีรูปจีนแบบสุกรด้วย นั่นก็เพราะคนจีนนับถือผี มีการฆ่าสุกรเซ่นไหว้ภูตผี ก็เลยจัดให้เป็นมารไปด้วยอยู่ในฝ่ายมิจฉาทิฐิ ถ้าเทียบภาพเขียนในสมัยอยุธยา อันปรากฏที่พนังพระอุโบสถจำนวนมาก กับภาพเขียนในสมัยอยุธยาในพระบฏ หรือเขียนบนแผ่นสมุดข่อย เรามีสมุดข่อยที่ขึ้นชื่อลือชาฉบับกรุงธนบุรี เช่น ไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิพระร่วงฉบับหอสมุดแห่งชาติดังกล่าวเพียงฉบับเดียว ที่พอจะอ้างอิงได้ ส่วนฉบับอื่นที่แม้จะเชื่อว่าเขียนในสมัยอยุธยาก็หามีศักราชอ้างอิงไว้ไม่ นอกจากสมุดข่อยจากวัดศีรษะกระบือเท่านั้น ในสมุดข่อยวัดศีรษะกระบือ มีจารึกศักราชบ่งว่า พ.ศ.๒๒๘๖ อันตรงกับรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกถึง ๒๔ ปีนับว่าเป็นจิตรกรรมบนสมุดข่อยสมัยอยุธยาที่บอกอายุไว้อย่างชัดแจ้ง ลักษณะสมุดข่อยวัดศีรษะกระบือ โดยทั่วไปแล้วขนาดกับกระดาษข่อยก็เป็นลักษณะเดียวกับสมุดข่อยสมัยรัตน โกสินทร์ กระดาษข่อยสีขาวนั้นก็มิได้มัวหรือออกสีเหลืองมากแต่อย่างใด เมื่อระบายด้วยสีบาง ๆ แบบสีน้ำตามเทคนิคการระบายสีของสมัยอยุธยาแล้ว ก็ทำให้ดูสีสดใสมาก ปกหลังและปกหน้าของสมุดลงรักดำเขียนลายประจำยามชนิดลายก้ามปู ตรงกลางเป็นรูปกลมสลับกับรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนอย่างใหญ่ ตัวกนกสะบัดปลายเป็นกนกเปลวมีกรอบเป็นเส้นตรง ๔ ด้าน เมื่อ เทียบกับภาพเขียนสมัยอยุธยาที่วัดช่องนนทรี กรุงเทพฯ หรือผนังที่อุโบสถวัดเกาะ จังหวัดเพชรบุรีแล้ว จิตรกรรมจากทั้ง ๒ แห่งนี้มีลักษณะคล้ายกันมาก คือทารองพื้นสีขาว ศิลปินผู้เขียนจะเขียนเส้นอย่างอิสระ(free hand) และใส่สีขาวเมื่อต้องการให้เป็นสีอ่อนมากหรือกลาง ๆ อันเป็นวิธีการของสีฝุ่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ภาพเขียนในสมุดข่อยที่วัดศีรษะกระบือมีลักษณะพิเศษผิดกับภาพเขียนบนฝา ผนัง ๒ แห่งดังกล่าวข้างต้น กล่าวคือใช้สีสดใสกับมีสีสด ๆ ใช้เพิ่มมากกว่าสีในภาพผนัง สีที่สะดุดตาก็คือสีเหลืองเช่น สีพื้นและสีนกเป็นสีเหลืองแบบ(lemon yellow) การระบายสีพื้นก็อ่อน เช่น รูปนกบนโขดหิน ๒ ตัว กำลังเดินเหยาะย่างไปมา เขาระบายสีพื้นด้วยสีแดงอ่อนแต่บางตอนก็เป็นสีส้ม พอผ่านโขดหินก็เอาสีน้ำตาลเหลืองระบายลงบนโขดหินมีสีน้ำเงินจาง ๆ ผสมกับน้ำตาลอ่อน และยังมีสีแดงอ่อนส่วนตัวนกกับกวางที่ระบายสีสดใสเขาตัดเส้นด้วยสีดำ ดูเด่นออกมาอย่างไม่รู้สึก ดอกไม้ที่ต้นสีขาวแก่ตัดเส้นด้วยสีแดง ดูรวม ๆ แล้วสีงามซึ้งและผสานกลมกลืนกันมาก เป็นเทคนิคการเขียนสีน้ำที่สะอาดตามาก และดูทันสมัย แม้ปัจจุบันก็ไม่มีใครทำเทคนิคได้ ถึงส่วนรูปเทวดาผู้ทรงมเหสักข์นั้นเล่า ดอกไม้อันมีกิ่งก้านจากมือประนมดูลอยกระจะเด่นเต็มไปทั้งเนื้อที่ มีดอกตูมกับใบแซมบนพื้นสีแดงแสดอันฉ่ำ สดใสยิ่งนัก ภาพเขียนจากสมุดข่อยวัดศีรษะกระบือนั้น จักว่าทรงคุณค่าอันยิ่งใหญ่ทางศิลปะยิ่งนัก

ลำดับเจ้าอาวาสวัดหัวกระบือ
๑. พระอาจารย์แดง ๒. พระอาจารย์จวน
๓. พระอาจารย์รุ่ง ๔. พระอาจารย์ทัด
๕. พระอาจารย์เคลือบ ๖. พระอาจารย์สังข์
๗. พระอาจารย์เลิศ ๘. พระอาจารย์ชุม
๙. พระอาจารย์ใจ ๑๐. พระอาจารย์ถม
๑๑. พระครูวิบูลพัฒนกิตติ์( สละ กตปุญโญ)
ตั้งแต่ วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๖